“เหล่าเทพแห่งไอยคุปต์จงเป็นพยาน จากนี้ไปข้าจะรอคอยไยยีน้องนางของข้าเพียงผู้เดียว และขอดวงตาฮอรัสที่ข้าสลักให้นางด้วยใจรักนี้ จงติดตามคุ้มครองป้องภัยดวงใจของข้าทุกแห่งหน อีกทั้งขอให้บรรดาปวงเทพทั้งหลาย โปรดนำพาดวงใจของข้า หวนคืนสู่ไอยคุปต์อีกครั้งด้วยเทอญ…”
“เจ้าท้องหรือไยยี”
“หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจเพคะฝ่าบาท”
“เจ้าออกไปให้พ้นหน้าข้าก่อนไป๊ไยยี ยิ่งเจ้าอยู่ก็ยิ่งวุ่นวาย ออกไปให้พ้นหน้าข้าเสียบัดเดี๋ยวนี้เลย”
“เพคะฝ่าบาท”
และการจากไปคราวนี้คือชั่วกาลนาน…
“เกลียดข้าหรือ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตะโกนใส่หน้าข้า โทษของเจ้าที่กอดเจ้าชายนาเมอร์ตำตาข้ายังไม่สิ้นความ บังอาจมาสร้างเรื่องใหม่อีกหรือ ดี! ข้าก็อยากจะรู้นัก ว่าเจ้าจะเกลียดข้าไปถึงไหนกัน มานี่…”
เจ้าชายเรพทานห์รับสั่งอย่างกริ้วจัด รวบร่างบางขึ้นอุ้มอย่างง่ายดาย ไม่สนพระทัยแม้ร่างเล็กจะดิ้นรนไม่ยินยอมไปกับพระองค์
“ขอฝ่าบาททอดพระเนตรหม่อมฉันอีกที ทอดพระเนตรหม่อมฉันให้ดีๆ ว่าดวงหน้าในขณะนี้ของหม่อมฉัน และเรือนร่างที่อยู่ในรูปกายใหม่นี้ เคยมีอดีตใดๆ ร่วมกับฝ่าบาทบ้างหรือไม่ ยามที่ทรงเรียกหม่อมฉันว่าไยยี ยามที่ทรงอ่อนโยนกับหม่อมฉัน ภาพในห้วงพระดำริที่ฝ่าบาทระลึกถึงนั้นคือผู้ใด และใบหน้าของใครกันแน่ ทรงยอมรับเสียเถิดว่าไม่มีไยยีอีกต่อไปแล้ว มีแต่ลูกปัดในชาติใหม่กายใหม่เพียงเท่านั้น...”
“เรียกหม่อมฉันว่าไยยีเหมือนเดิมก็ได้เพคะ หม่อมฉันจำทุกอย่างได้แล้ว จะเป็น ไยยี เนเฟอร์เร หรือลูกปัด หม่อมฉันก็เกิดมาเพื่อรักฝ่าบาทเพียงพระองค์เดียว!”
“คนรักกันเขาไม่พูดมาก ต้องใช้การกระทำ ถึงจะรู้ได้ว่ารักหรือไม่รัก”
“ยังไงเพคะ ทำแบบไหนกัน”
“มันต้องทำให้ดู เรื่องแบบนี้อธิบายกันไม่ได้ ยามใช้กายบอกรักนั้น มีกฎว่าห้ามใช้ปากพูด”
“ฝ่าบาทนี่เจ้าเล่ห์กับหม่อมฉันอีกแล้วนะเพคะ”